บทนำ
ตลาดฟอเร็กซ์และตลาดหุ้นต่างเป็นตลาดหลักในหมวดการเงินที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองตลาดนี้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินนับร้อย ตั้งแต่คู่เงินเยนไปจนถึงหุ้นเทคโนโลยี เป็นต้น หากไม่ใช่นักลงทุนที่มีประสบการณ์มากพอ การทำการลงทุนในหลายตลาดอาจจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก นักอ่านหลายท่านคงเคยสงสัยว่าควรลงเงินในตลาดไหนกันแน่ วันนี้ผู้เขียนจะมาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของตลาดฟอเร็กซ์และตลาดหุ้นกัน เพื่อให้ทุกท่านสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสองตลาดนี้ได้ และทำการเลือกที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนของตนเอง
ข้อดีของการเทรดฟอเร็กซ์
สภาพคล่องที่ดีที่สุด เมื่อพูดถึงสภาพคล่องของตลาด ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่ไม่มีใครเทียบได้ ตลาดฟอเร็กซ์มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยถึง 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ในแต่ละวันจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด สำหรับนักลงทุนใหม่ สภาพคล่องหมายถึงคุณสามารถเลือกทำการซื้อขายได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการตั้งราคาโดยผู้ถือบัญชีซึ่งอาจจะไม่สามารถหาอีกฝ่ายที่จะตรงกันได้
เวลาทำการที่ไม่มีหยุดพัก
ฟอเร็กซ์เปิดทำการ 5 วันต่อสัปดาห์ และเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เหมือนตลาดหุ้นที่มีการปิดตลาดในบางช่วงเวลา ทุกตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกเปิดและปิดในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำการเทรดตอนไหน คุณจะสามารถหาตลาดอย่างน้อย 1 ถึง 2 แห่งที่ยังเปิดทำการอยู่ ซึ่งเป็นที่ถูกใจมากสำหรับผู้ที่มีงานประจำและสามารถเทรดได้เฉพาะตอนดึก
ความเสี่ยงของการใช้เลเวอเรจ
นอกจากนี้ บางโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์สามารถเสนอให้เลือกเลเวอเรจที่สูง เช่น บัญชีฟอเร็กซ์ที่มีเลเวอเรจ 200:1 ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถใช้เงิน 1 ดอลลาร์เพื่อเทรดแทนเงิน 200 ดอลลาร์ หากใช้อย่างถูกต้อง นักลงทุนสามารถสะสมเงินในบัญชีได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เลเวอเรจ
ข้อเสีย: การควบคุมราคา
ข้อเสียคือ หากการเทรดฟอเร็กซ์นั้นไม่มีการควบคุมใด ๆ ผู้ที่มีบัญชีขนาดใหญ่เพียงพอสามารถควบคุมราคาได้ เนื่องจากฟอเร็กซ์ยังคงเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกที่สามารถปกป้องนักลงทุนจากกลยุทธ์ที่ไม่ดีของผู้เล่นขนาดใหญ่ ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่ คนดัง และธนาคารขนาดใหญ่ล้วนมีอิทธิพลต่อราคาในตลาด
ข้อเสีย: เลเวอเรจเป็นดาบสองคม
เลเวอเรจเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อ แต่ก็เป็นจุดอ่อนเช่นกัน เลเวอเรจสามารถทำให้คุณขาดทุนมากขึ้นในการเทรดที่ไม่ประสบผลสำเร็จ หากไม่ได้ใช้งานอย่างเหมาะสม ผู้เทรดอาจถูกเรียกเก็บมาร์จิ้นเพิ่ม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนรุนแรง
ข้อดีของการเทรดหุ้น
อัตราผลตอบแทนการลงทุนสูง ภาพจำของนักลงทุนใหม่คือ ตลาดหุ้นเคยมีอัตราผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ระหว่างปลายปี 1920 ถึงปี 2010 อัตราผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 11% ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลมีเพียง 3.66%
ทรัพยากรฟรี
นักลงทุนใหม่สามารถค้นหาข้อมูลและข้อเสนอในการลงทุนหุ้นมากมายโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย บล็อกและเว็บไซต์การเงินออนไลน์ประมาณว่าเสนอเนื้อหาที่มีค่ามาก
ผลตอบแทนที่น่าทึ่งในระยะยาว
ในระยะยาว ตลาดหุ้นถือเป็นช่องทางการลงทุนที่มีผลตอบแทนที่ดี การสะสมดอกเบี้ยทบต้นในระยะยาวและเงินปันผลสามารถสร้างความมั่งคั่งที่สำคัญ โดยสมมุติว่า ROI ของหุ้นอยู่ที่ระดับกลางประมาณ 8% ถ้าคุณลงทุน 50,000 ดอลลาร์ ใน 20 ปีต่อมา การลงทุนนี้อาจเติบโตเป็น 233,047 ดอลลาร์
ความสามารถในการปรับระดับความเสี่ยง
อีกข้อดีของการลงทุนในหุ้นคือความสามารถในการปรับระดับความเสี่ยง นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยเลือกบริษัทที่มีแบรนด์ที่มีประวัติที่ดี สำหรับนักลงทุนที่ต้องการ ROI ที่สูงขึ้นและสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น จะสามารถเลือกการลงทุนในธุรกิจเริ่มต้นและหุ้นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง
ข้อเสีย: ความเสี่ยงอยู่ตลอด
แต่เช่นเดียวกับตลาดอื่น ๆ ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ปลอดภัยจากความเสี่ยง ทุกกลยุทธ์ที่ดีที่สุดและซอฟต์แวร์ทันสมัยบางส่วนยังสามารถทำให้คุณขาดทุนได้
ข้อเสีย: ข้อมูลหุ้นซับซ้อน
สำหรับผู้เริ่มต้น ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเทรดหุ้นมักจะแสดงผลในรูปแบบที่ซับซ้อน อาจทำให้รู้สึกวิตกกังวล ข้อมูลจะถูกแสดงในหน้าต่างที่แตกต่างกัน หากผู้เทรดมีแค่หน้าจอคอมพิวเตอร์จอเดียว พวกเขาจึงต้องสลับหน้าต่างเพื่อดูการอัพเดตข้อมูลอยู่ตลอด
บทสรุป
โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตลาดฟอเร็กซ์หรือตลาดหุ้น ทั้งสองมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง การเลือกตลาดที่คุณคุ้นเคยมากที่สุด จะทำให้คุณสามารถใช้จุดแข็งของตัวเองได้ดีที่สุด ในที่สุดกลยุทธ์และหลักการในการเทรดต่างหากที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ
ความคิดเห็นของผู้ใช้
ยังไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น