การลงทุนในตลาด
ตลาดการลงทุนมีนักลงทุนจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน สถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงหรือกลุ่มเงินทุนมักจะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ใช้การวิเคราะห์เชิงเทคนิค และยังมีนักลงทุนจำนวนมากที่ใช้การวิเคราะห์การซื้อขายเชิงปริมาณแบบโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การวิเคราะห์เชิงเทคนิค หรือการวิเคราะห์การซื้อขายเชิงโปรแกรม วิธีการวิเคราะห์นั้นมีหลากหลายแบบ ในที่นี้ผู้เขียนจะนำเสนอวิธีการวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่นิยมใช้ ผู้เขียนเชื่อว่าการวิเคราะห์ด้วยกราฟ K线 เป็นแกนหลักและพื้นฐานของการวิเคราะห์เชิงเทคนิค เนื่องจากองค์ประกอบในการวิเคราะห์หลายๆ อย่างหรือการคำนวณที่ใช้ในวิธีการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ต่างก็สืบทอดมาจากราคาสี่ราคาในกราฟ K线
ความหมายของกราฟ K线
กราฟ K线 หรือที่เรียกว่ากราฟเทียน หรือกราฟยกตา กำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในวิธีการวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่เก่าแก่ที่สุด ตั้งแต่ปี 1750 ชาวญี่ปุ่นเริ่มใช้เทียนในการวิเคราะห์ตลาดข้าวทำให้ทฤษฎีกราฟ K线 ได้กำเนิดขึ้น ผู้คนแต่ละคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับกราฟ K线 เพราะฉะนั้นกราฟ K线 เดียวกันเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ลงทุนหลายๆ คน ก็จะถูกวิเคราะห์ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมากมาย ความหลากหลายนี้ทำให้การเล่นหุ้นในตลาดทุนมีความเข้มข้นยิ่งขึ้น และดึงดูดผู้ลงทุนจำนวนมากเข้ามา อย่างไรก็ตามกราฟ K线 มักจะมีลักษณะที่คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน คือ “ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยอย่างง่ายดาย”
การอ่านกราฟ K线
กราฟ K线 สามรูปแบบพื้นฐาน คือ “เทียนดำ, เทียนแดง, และรูปดาว” ได้บ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวของตลาดในประวัติศาสตร์ Wall Street ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และจะยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอนาคต เมื่อเจอกับกราฟ K线 และการจัดกลุ่มต่างๆ นักลงทุนหลายคนอาจรู้สึกยุ่งยาก เมื่อกราฟขึ้น แต่กลับลงหรือลงแต่กลับขึ้น หรืออาจมองเห็นแนวโน้มที่ถูกต้องแต่ไม่สามารถทำกำไรได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักลงทุนไม่สามารถเข้าใจและใช้กราฟ K线 ได้อย่างถูกต้อง การเข้าใจและใช้กราฟ K线 อย่างถูกต้อง เป็นสิ่งที่จะทำให้สามารถใช้ทักษะการวิเคราะห์เชิงเทคนิคได้อย่างเต็มที่
เคล็ดลับการวิเคราะห์
มีเคล็ดลับสองข้อ คือ ดูจำนวนเทียนดำและเทียนแดง, และดูการเปรียบเทียบรูปแบบกราฟ K线 เทียนแดงแสดงถึงแนวโน้มการขยับขึ้น เทียนดำแสดงถึงแนวโน้มการขยับลง ในช่วงเวลาที่มีการแข่งขันระหว่างตลาด เมื่อเทียนแดงเกิดขึ้นหมายถึงราคามีแนวโน้มที่ขึ้นสูง และในกรณีที่มีเทียนดำมากเกินไปอาจบ่งชี้ว่าราคาจะปรับตัวลง ปกติจะต้องดูปริมาณของเทียนทั้งสอง หากมีการปรับตัวบ่อยๆ ของเทียนก็น่าจะบ่งบอกการปรับตัวหรือแก้ไขราคาที่จะเกิดขึ้น การวิเคราะห์ขนาดแท่งเทียนและความยาวของเงานั้น ก็วัดความสามารถของการเคลื่อนไหวภายในตลาดได้
ข้อสรุป
กราฟ K线 เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน โดยนักลงทุนที่เข้าใจกลไกของตลาดสามารถใช้ในการหาจุดเข้าและออกจากการลงทุนได้ แต่การวิเคราะห์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ยังต้องพิจารณาจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างการวิเคราะห์เชิงเทคนิคและพฤติกรรมของนักลงทุนจะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการกำหนดแนวทางสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด
ความคิดเห็นของผู้ใช้
ยังไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น